วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บริการสอนการใช้

บริการสอนการใช้
   บริการสอนการใช้ เป็นบริการที่บรรณารักษ์หรือเจ้าหน้าที่ของห้องสมุดจะมีการให้บริการผู้ใช้ผ่านทางการสอนทักษะทาง การรู้สารสนเทศ (Information Literacy) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้ด้วยตนเอง เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการช่วยค้นหาสารสนเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเรียนรู้วิธีค้นหาสารสนเทศด้วยตนเองต่อไปในอนาคตด้วย เนื่องจากในปัจจุบันการรู้สารสนเทศนั้นมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก นอกจากจะนำไปใช้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาความรู้ความสามารถของมนุษย์ให้มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างมีระบบและมีวิจารณญาณแล้ว ยังเป็นส่วนช่วยที่ทำให้เกิดสามารถในการสร้างองค์ความรู้ใหม่อันจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงการพัฒนาประเทศสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ในสังคมใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย



ความหมายของการรู้สารสนเทศ (Information Literacy : IL)
การรู้สารสนเทศ (Information Literacy : IL) เป็นความสามารถของบุคคลในการตระหนักถึงความต้องการสารสนเทศ การเข้าถึงสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศ การประเมินสารสนเทศ และการนำสารสนเทศไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวม


เป้าหมายสูงสุดของการรู้สารสนเทศ
เป็นการทำให้ทุกคนกลายเป็นผู้ที่มีทักษะสารสนเทศ (Information Literate Person) และสามารถนำทักษะที่ได้ไปใช้ในการศึกษา การทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวันได้ และผลของการสร้างความรู้และทักษะทางสารสนเทศนี้จะเป็นการสร้างทรัพยากรบุคคลเพื่อรองรับสังคมสารสนเทศ และรองรับยุคสมัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

เป้าหมายการเรียนรู้ของมนุษย์ มี 4 ประการ ดังต่อไปนี้
(1)Learn to know เรียนเพื่อให้มีความรู้และมีวิธีการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้หรือวิธีการเรียนรู้ที่ได้มาไปต่อยอด แสวงหาหรือผลิตความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
(2)Learn to do เรียนเพื่อที่จะทำเป็นหรือใช้ความรู้ไปประกอบอาชีพและสร้างประโยชน์แก่สังคม
(3)Learn to live with the others เรียนเพื่อดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคมอย่างมีความสุขและสร้างสรรค์
(4)Learn to be เรียนเพื่อที่จะเป็นผู้ที่รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ สามารถพัฒนาตนได้เต็มศักยภาพ หรือพัฒนาตนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ มีมุมมองที่น่าสนใจ ดังนี้
(1)เป็นการแสวงหาสารสนเทศตามต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(2)ได้รับรู้โอกาสในการเลือกใช้แหล่งสารสนเทศและแยกแยะแหล่งสารสนเทศได้
(3)ได้วิเคราะห์และเลือกใช้สารสนเทศจากเครื่องมือสืบค้นสารสนเทศ เช่น จากคอมพิวเตอร์ และจากเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นๆ
(4)มีความสะดวกต่อการใช้มวลชนที่หลากหลายที่เหมาะสมที่สุด
(5)มีความระมัดระวังต่อการใช้สารสนเทศทั้งที่เชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้
(6)สามารถถ่ายทอดสารสนเทศที่รู้ให้ผู้อื่นทราบได้
องค์ประกอบของสารสนเทศ มี 5 ประการ ดังต่อไปนี้
(1)ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดต้องการสารสนเทศ และมีความตระหนักว่าสารสนเทศเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ รวมทั้งสารสนเทศที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น
(2)ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ รู้ว่าจะได้สารสนเทศจากที่ใด และจะสืบค้นสารสนเทศได้อย่างไร
(3)ความสามารถในการประเมินสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศในฐานเป็นผู้บริโภคสารสนเทศที่มีวิจารณญาณ
(4)ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ กล่าวคือ สามารถคิด และวิเคราะห์สารสนเทศ
(5)ความสามารถในการใช้และสื่อสารสารสนเทศให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีความเข้าใจประเด็นต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศ ตลอดจนการเข้าถึงและการใช้สารสนเทศอย่างมีจริยธรรมและถูกกฎหมาย
ดังนั้น การรู้สารสนเทศจึงมีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมศึกษาไปจนถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง การรู้สารสนเทศจึงเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาคุณภาพของตนเอง และหากประเทศใดมีประชากรที่เรียนรู้ตลอดชีวิต ถือว่าทรัพยากรมนุษย์ของประเทศนั้นย่อมมีคุณภาพที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ
คุณสมบัติของผู้รู้สารสนเทศในด้านอื่นๆ ประกอบไปด้วย
(1)การรู้ห้องสมุด (Library Literacy) ผู้เรียนต้องรู้ว่าห้องสมุดเป็นแหล่งรวบรวมสารสนเทศในสาขาวิชาต่างๆ ไว้ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งในรูปสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ และสืออิเล็กทรอนิกส์ รู้วิธีการจัดเก็บสื่อ รู้จักใช้เครื่องมือช่วยค้นต่างๆ รู้จักกลยุทธ์ในการค้นคืนสารสนเทศแต่ละประเภท รวมทั้งบริการต่างๆ ของห้องสมุด โดยเฉพาะห้องสมุดของสถาบันการศึกษาที่ผู้เรียนกำลังศึกษาอยู่จะต้องรู้จักอย่างลึกซึ้งในประเด็นต่างๆ ดังกล่าวแล้ว การรู้ห้องสมุดครอบคลุมการรู้แหล่งสารสนเทศอื่นๆ ด้วย
(2)การรู้คอมพิวเตอร์ (Computer Literacy) ผู้เรียนต้องรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอรเบื้องต้นในเรื่องของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การเชื่อมประสาน และการใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ เช่น การพิมพ์เอกสาร การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การใช้อินเตอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสาร รวมถึงการรู้ที่ตั้งของแหล่งสารสนเทศ เป็นต้น
(3)การรู้เครือข่าย (Network Literacy) ผู้เรียนต้องรู้ขอบเขตและมีความสามารถในการใช้สารสนเทศทางเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก สามารถใช้กลยุทธ์การสืบค้นสารสนเทศจากเครือข่าย และการบูรณาการสารสนเทศจากเครือข่ายกับสารสนเทศจากแหล่งอื่นๆ
(4) การรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เห็น (Visual Literacy) ผู้เรียนสามารถเข้าใจและแปลความหมายสิ่งที่เห็นได้รวมถึงความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การเรียนรู้ การแสดงความคิดเห็น และสามารถใช้สิ่งที่เห็นนั้นในการทำงานและการดำรงชีวิตประจำวันของตนเองได้ เช่น สัญลักษณ์ที่พบเห็นได้ตามสถานที่ต่างๆ
(5)การรู้สื่อ (Media Literacy) ผู้เรียนต้องสามารถเข้าถึง วิเคราะห์ และผลิตสารสนเทศจากสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ ภาพยนตร์ วิทยุ ดนตรี หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เป็นต้น รู้จักเลือกรับสารสนเทศจากสื่อที่แตกต่างกัน รู้ขอบเขตและการเผยแพร่สารสนเทศของสื่อ เข้าใจถึงอิทธิพลของสื่อ และสามารถพิจารณาตัดสินได้ว่าสื่อนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร
(6)การรู้สารสนเทศดิจิทัล (Digital Literacy) ผู้เรียนสามารถเข้าใจและใช้สารสนเทศรูปแบบซึ่งนำเสนอในรูปดิจัทัลผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างการรู้สารสนเทศดิจิทัล เช่น สามารถดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูลจากแหล่งทรัพยากรสารสนเทศที่เข้าถึงในระยะไกลมาใช้ได้ รู้ว่าคุณภาพสารสนเทศที่มาจากเว็บไซต์ต่างๆ แตกต่างกันรู้ว่าเว็บไซต์น่าเชื่อถือและเว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ รู้จักโปรแกรมการค้นหา สามารถสืบค้นโดยใช้การสืบค้นขั้นสูง รู้เรื่องของกฎหมายลิขสิทธิ์ที่คุ้มครองทรัพยากรสารสนเทศบนเว็บไซต์ การอ้างอิงสารสนเทศจากเว็บไซต์
(7)การมีความรู้ด้านภาษา (Language Literacy) ผู้เรียนมีความสามารถกำหนดคำสำคัญสำหรับการค้น ในขั้นตอนการค้นคืนสารสนเทศที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การค้นสารสนเทศจากอินเตอร์เน็ต และการนำเสนอสารสนเทศที่ค้นมาได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่จำเป็นมากที่สุด เนื่องจากเป็นภาษาสากล และสารสนเทศส่วนใหญ่เผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ
(8) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตัดสินใจเลือกรับสารสนเทศที่นำเสนอไว้หลากหลาย โดยการพิจารณาทบทวนหาเหตุผล จากสิ่งที่เคยจดจำ คาดการณ์ โดยยังไม่เห็นคล้อยตามสารสนเทศที่นำเสนอเรื่องนั้นๆ แต่จะต้องพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยความรอบคอบและมีเหตุผลว่าสิ่งใดสำคัญมีสาระก่อนตัดสินใจเชื่อ จากนั้นจึงดำเนินการแก้ปัญหา
(9)การมีจริยธรรมทางสารสนเทศ (Information Ethic) การสร้างผู้เรียนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ มีความสำคัญและเป็นเป้าหมายหลักของการจัดการศึกษา เพื่อปลูกฝังผู้เรียนให้รู้จักใช้สารสนเทศโดยชอบธรรมบนพื้นฐานของจริยธรรมทางสารสนเทศ เช่น การนำข้อความหรือแนวคิดของผู้อื่นมาใช้ในงานของตนจำเป้นต้องอ้างอิงเจ้าของผลงานเดิม การไม่นำข้อมูลที่ขัดต่อศีลธรรมและจรรยาบรรณของสังคมไปเผยแพร่ เป็้นต้น

ความสำคัญ การรู้สารสนเทศมีความสำคัญต่อความสำเร็จของบุคคลในด้านต่างๆ ดังนี้  การศึกษา การรู้สารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการศึกษาของบุคคลทุกระดับ ทั้งการศึกษาในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบโรงเรียน การศึกษาตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาในปัจจุบัน มีการปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้น บทบาทของผู้สอนจึงเปลี่ยนเป็นผู้ให้คำแนะนำชี้แนะโดยอาศัยทรัพยากรเป็นพื้นฐานสำคัญ การดำรงชีวิตประจำวัน การรู้สารสนเทศเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตประจำวัน เพราะผู้รู้สารสนเทศจะเป็นผู้ที่สามารถวิเคราะห์ประเมินและใช้สารสนเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง เมื่อต้องการตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากเราเป็นผู้ใช้ก็ต้องพิจารณามาตรฐาน คุณภาพในการให้บริการของห้องสมุด และเปรียบบเทียบบริการที่มีในห้องสมุด แล้วจึงทำการตัดสินใจเลือกรับการให้บริการของห้องสมุดที่ดีที่สุดและตรงกับความต้องการของเราในการนำสารสนเทศไปใช้งาน เป็นต้น การประกอบอาชีพ 
การรู้สารสนเทศมีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะ บุคคลนั้นสามารถแสวงหาสารสนเทศที่มีความจำเป็นต่อการประกอบอาชีพของตนเองได้ เมื่อห้องสมุดประสบปัญหาเรื่องวารสารมีราคาที่สูงขึ้น จึงปรับเปลี่ยนมาบอกรับวารสารอิเล็กทรอนิกส์แทน เนื่องจาก เสียค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า และหากบอกรับคู่กับสิ่งพิมพ์ก็จะได้รับส่วนลดได้อีกด้วย เพื่อให้ห้องสมุดยังคงมีการให้บริการสารสนเทศได้ดังเดิมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แม้จะประสบปัญหาเหล่านี้ก็ตาม สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง การรู้สารสนเทศเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะสังคมในยุคสารสนเทศ (Information Age) บุคคลจำเป็นต้องรู้สารสนเทศเพื่อปรับตนเองให้เข้ากับสังคมเศรษฐกิจ และการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ร่วมกันในสังคม การบริหารจัดการ การดำเนินธุรกิจและการแข่งขัน การบริหารบ้านเมืองของผู้นำประเทศ เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าผู้รู้สารสนเทศ เป็นผู้ที่มีอำนาจสามารถชี้วัดความสามารถขององค์กรหรือประเทศชาติได้ ดังนั้น ประชากรที่เป็นผู้รู้สารสนเทศจึงถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของประเทศ

องค์ประกอบการรู้สารสนเทศ แบ่งออกเป็น 5 ประการ ได้แก่ 
1. ตระหนักได้เมื่อมีความต้องการสารสนเทศ : สามารถกำหนด/ระบุเจาะจงสารสนเทศที่ต้องการได้
2. การรู้และเข้าถึงสารสนเทศ : สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ตนต้องการได้ หรือรู้แหล่งในการได้มาซึ่งสารสนเทศที่ตนเองต้องการ
3. การรู้วิธีในการประเมินสารสนเทศ : สามารถสังเคราะห์ ประเมินคุณค่าและความสำคัญในสารสนเทศที่หามาได้
4. มีความสามารถในการนำเสนอสารสนเทศที่หามาได้ : สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์และนำเสนอสารสนเทศที่หามาได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ อันจะนำมาซึ่งองค์ความรู้ใหม่ๆ
5. ความสามารถในการใช้สารสนเทศที่หามาได้ อย่างมีจริยธรรมและมีประสิทธิภาพ : ทำการใช้สารสนเทศที่ได้มาให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอย่างสูงสุดโดยคำนึงถึงเรื่องของจริยธรรม ความเหมาะสมและถูกต้องเป็นหลัก


ห้องสมุดและการส่งเสริมการรู้สารสนเทศ 
1. การแนะนำหรือนำชมห้องสมุด (Library Orientation)
2. การสอนวิธีในการเข้าถึงข้อมูลบรรณานุกรม (Bibliographic Instruction)
3. การให้การศึกษาแก่ผู้ใช้บริการ (User Education)
4. การฝึกทักษะในด้านการเรียนรู้ (Information skills training)


 วัตถุประสงค์ของบริการสอนการใช้ห้องสมุด 
1. สามารถทำให้ผู้ใช้บริการได้เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของสารสนเทศในห้องสมุด
2. สามารถนำความต้องการของสารสนเทศไปใช้ในการสร้างคำถาม คำหลักและใช้ในการพัฒนาเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ใช้การสืบค้นได้
3. ผู้ใช้บริการสามารถที่จะเลือกและเข้าถึงแหล่งสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการได้ รวมถึงมีความสามารถในการประเมินสารสนเทศและแหล่งของสารสนเทศได้
4. ผู้ใช้บริการสามารถนที่จะนำเอาสารสนเทศมาพัฒนาในส่วนขององค์ความรู้เดิม พัฒนาต่อยอดให้ได้องค์ความรู้ใหม่ และรวมถึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานในสถานการณ์ต่างๆได้



ลักษณะการจัดบริการสอนการใช้ของห้องสมุด แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
1บริการสอนหรือแนะนำเฉพาะบุคคล (One-to-One Instruction)
-เป็นบริการที่บรรณารักษ์ให้ความช่วยเหลือผู้ใช้เป็นรายบุคคลเมื่อผู้ใช้มีปัญหาต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในการที่จะได้มาซึ่งสารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการ เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดระบบห้องสมุด ปัญหาการใช้ทรัพยากรสารสนเทศบางประเภท ระบบการจัดการ การจัดเก็บ และการบริการ ซึ่งบรรณารักษ์จะต้องจัดบริการให้คำแนะนำและสอนการใช้งานในห้องสมุดแก่ผู้ใช้โดยตรง โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องไปขอรับบริการคำแนะนำหรือการสอนจากบรรณารักษ์ก่อน อีกทั้งบรรณารักษ์จึงควรเอาใจใส่ต่อผู้ใช้ที่มาใช้บริการห้องสมุดด้วย เพื่อให้ผู้ใช้เกิดการเรียนรู้และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวกับผู้ใช้ได้อย่างยั่งยืน
2การให้บริการเป็นกลุ่ม (Group Instruction)
-เป็นบริการที่เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้ที่เข้ามาใช้บริการในห้องสมุด
-สำหรับการบริการเป็นกลุ่มจะมีทั้งการบริการที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งก็คือบริการที่ผู้ใช้เป็นผู้ร้องขอให้บรรณารักษ์สอนการใช้ห้องสมุด และบริการที่เป็นทางการ ซึ่งก็คือห้องสมุดจะมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนเอาไว้ในห้องสมุด
-ลักษณะการให้บริการเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับระบบการจัดการในห้องสมุด แผนกต่างๆ ในห้องสมุด ทรัพยากรที่ห้องสมุดมี บริการห้องสมุดสำหรับผู้ใช้ และแนะนำให้รู้จักบุคลากรในแผนกต่างๆ
-การแนะนำอาจจะมีการจัดทำคู่มือการใช้ห้องสมุดทั้งที่เป็นสิ่งพิมพ์ และเสนอบนอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับการใช้ฐานข้อมูล วิธีการสืบค้น วิธีการศึกษาค้นคว้า สำหรับใช้ประกอบการแนะนำ หรือการสอนผู้ใช้ห้องสมุด นอกเหนือจากการแนะนำโดยบรรณารักษ์



สำหรับการให้บริการเป็นกลุ่ม สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1การนำชมห้องสมุด (Library Tour/Orientation)

-เป็นการแนะนำของบรรณารักษ์แก่ผู้ใช้เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของห้องสมุด เพื่อให้ผู้ใช้เกิดความคุ้นเคยกับลักษณะทางกายภาพของห้องสมุด ผู้ใช้สามารถทราบได้ว่าทรัพยากรสารสนเทศแต่ละอย่างนั้นจัดให้บริการที่ใดของห้องสมุด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้นหาแก่ผู้ใช้ที่มาใช้บริการในครั้งถัดไป ก่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการใช้งานแก่ผู้ใช้ รวมถึงการแนะนำแผนที่ของห้องสมุด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาตำแหน่งของบริการภายในห้องสมุดเมื่อผู้ใช้ต้องการเข้าไปใช้บริการได้
-เป็นการแนะนำให้ผู้ใช้เรียนรู้เกี่ยวกับแผนกบริการของห้องสมุดจะต้องสร้างความสัมพันธ์ในเบื้องต้นเพื่อการเข้ามาใช้ครั้งต่อไป ควรมีการแนะนำให้ผู้ใช้รู้จักกับเจ้าหน้าที่ของห้องสมุดในบางแผนก เช่น บรรณารักษ์แผนกบริการอ้างอิง แผนกวารสาร เป็นต้น-การบริการหรือบริการพิเศษ เช่น การแนะนำการสืบค้นด้วยคอมพิวเตอร์ บริการยืมระหว่างห้องสมุด บริการแฟ้มข้อมูล (Information Files) บริการแนะนำแหล่งข้อมูลเฉพาะ (Subject Guide)-การอธิบายโดยสรุปเกี่ยวกับการจัดระบบห้องสมุด และแนวทางค้นคว้าในห้องสมุด เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงวิธีการได้มาซึ่งสารสนเทศที่ต้องการ-กฎระเบียบการใช้ห้องสมุด

2บริการสอนการใช้เครื่องมือการค้น (One-Short Lectures)
-เป็นวิธีการและลักษณะการบริการจะคล้ายกับการให้บริการในระดับบุคคล แต่จัดให้เป็นกลุ่ม อาจจะทำก็ต่อเมื่อมีผู้ใช้ทำการร้องขอมายังบรรณารักษ์ หรือห้องสมุดจัดบริการโดยกำหนดตารางเวลาในการให้คำแนะนำ ขอบเขตของเนื้อหาที่จะแนะนำเป็นครั้งๆ
-การแนะนำเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือการค้นนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นคว้า เรียนรู้การใช้คู่มือ และสามารถสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-ในกรณีที่เป็นการใช้ฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศห้องสมุดออนไลน์ และการใช้ฐานข้อมูลต่างๆ หรือโปรแกรมใช้งานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทางห้องสมุดอาจจะมีการจัดบรรณารักษ์ให้มีการสอนเพื่อฝึกฝนการใช้งานของผู้ใช้ให้เกิดการเรียนรู้และสามารถลงมือปฏิบัติได้จริง ผู้ใช้สามารถใช้เครื่องมือการค้นได้ด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการใช้งานเพื่อการสืบค้นของผู้ใช้ เนื่องจาก มีความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลาในการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการได้

3บริการสอนการค้นคว้า
-เป็นบริการที่ช่่วยให้ผู้ใช้มีทักษะการรู้สารสนเทศ (Information Literacy) มีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต
-เป็นการพัฒนาให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว รู้จักการคัดเลือก วิเคราะห์สารสนเทศ และการใช้สารสนเทศ การประเมินและวิเคราะห์ทรัพยากร และการได้มาซึ่งสารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการ จริยธรรมในการใช้สารสนเทศ เพื่อไม่ให้ละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าของผลงาน และการนำเสนอสารสนเทศ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น