วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บริการข่าวสารทันสมัย

บริการข่าวสารทันสมัย  Current Awareness Service (CAS) 

      เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข่าวสารที่ทันสมัยและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสาขาที่สนใจ เป็นการแจ้งสารสนเทศที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ห้องสมุดได้รับเข้ามา ซึ่งจะต้องคอยให้ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับทราบถึงข้อมูลข่าวสารหรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นล่าสุดในปัจจุบัน โดยมีบริการข่าวสารทันสมัยที่เป็นระบบที่ห้องสมุดหรือสถาบันสารสนเทศจะต้องทำการตรวจสอบหรือวิเคราะห์เอกสารในเรื่องใหม่ๆ โดยทำการคัดเลือกให้ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้ส่วนบุคคล หรือเป็นกลุ่ม และทำการจัดเก็บบันทึกเพื่อจัดส่งให้ตามความต้องการของผู้ใช้


     CAS อาจเรียกอีกอย่างว่า

- Selective dissemination of information services (SDI) : จัดเป็นส่วนหนึ่งในบริการ CAR เป็นบริการที่จะทำตามคำขอของผู้ใช้บริการ ซึ่งเป็นบริการเฉพาะบุคคลที่หากหมดความต้องการของผู้ใช้บริการแล้วก็จะทำการงดหรือยกเลิกการให้บริการนี้
- Current alerting services Individual article supply (CAR) : เป็นบริการที่จะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงข้อสนเทศใหม่ๆ ตามความสนใจของผู้ใช้ทันทีที่สถาบันฯนั้นได้รับทรัพยากรสารสนเทศดังกล่าวมา ซึ่งอาจได้รับมาในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น รูปแบบสิ่งพิมพ์ หรือรูปแบบของสื่อสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์/สื่อประสม
- Alerting services/Alerts : 
บริการที่จะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงข้อสนเทศใหม่ๆ ตามความสนใจของผู้ใช้ทันที



ปรัชญาของการบริการ 
"The right book/documents to the right person at the right time" 
"เอกสารที่ต้องการ สำหรับบุคลที่ใช่ ในเวลาที่ทัน" ซึ่งก็คือการจัดการเอกสารที่ผู้ใช้ต้องการได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้และ ทำให้ผู้ใช้ได้รับเอกสารดังกล่าวทันทีหรือในเวลาที่ที่ผู้ใช้ต้องการ จัดเตรียมการเข้าถึงสารสนเทศ สิ่งสำคัญคือ การเลือกแหล่งสารสนเทศ เช่น จากแหล่งทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์, แหล่งเครือข่ายภายใน เป็นต้น ด้วยรูปแบบบริการใหม่ สะท้อนจากรูปแบบจากเดิมที่เป็นแค่ just-in-case หมายถึง สืบค้นเรื่องที่ต้องการเป็นเรื่องๆ ให้เปลี่ยนมาเป็น just-in-time หรือการค้นให้ทันเวลาที่ต้องการ และมาเป็น just-for-you ค้นเรื่องตามที่ผู้ใช้ต้องการนั่นเอง

วัตถุประสงค์
-เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ให้ได้สารสนเทศที่ทันสมัยและตรงต่อความต้องอย่างรวดเร็ว และเปิดโอกาสในการเข้าถึงซึ่งช่วยประหยัดเวลาสำหรับผู้ใช้ เป็นบริการข่าวสารทันสมัยที่จัดเป็นบริการเชิงรุกในการให้บริการนำส่งข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ใช้โดยผู้ใช้ไม่ต้องทำการร้องขอ หรือเรียกได้ว่าเป็นบริการนำส่งเอกสารที่ทางห้องสมุดหรือสถาบันสารสนเทศจะมีการจัดให้บริการผู้ใช้อยู่ตลอดเวลา
-บริการข่าวสารทันสมัยจะประกอบไปด้วย เอกสารการวิจัย เว็บไซต์ กลุ่มสนทนา สิ่งพิมพ์หรือฐานข้อมูลหรืออินเทอร์เน็ต ข่าวหรือเหตุการณ์ พัฒนาการการด้านการตลาดที่เกี่ยวข้อง แจ้งข่าวหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น


รูปแบบการบริการข่าวสารทันสมัย (CAS)
รูปแบบเดิม คือ การเวียนเอกสาร หรือจัดส่งโดยตรง
-ห้องสมุดจะต้องมีการสำเนาหน้าปก สารบัญ หน้าแรกของบทความ หรือสาระสังเขปแนบไปกับเอกสารฉบับนั้น
-ตัดข่าวหนังสือพิมพ์ส่ง หรือสรุปข่าว
-นำเสนอจดหมายข่าว Newletter เป็นลักษณะในการให้บริการแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับทรัพยากรสารสนเทศที่ออกใหม่ที่ห้องสมุดได้ทำการบอกรับ หรือแจ้งเป็นหนังสือเวียน โดยมีการแจ้งข้อมูลข่าวสารทุกเดือน หรือทุก 15 วัน
-งาน CAS ใช้เวลาในการจัดทำเป็นระยะเวลานาน จึงได้มีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการให้บริการผู้ใช้ เช่น มีการให้บริการ RSS เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงข่าวสารในปัจจุบันที่มีความทันต่อเหตุการณ์ในห้องสมุดหรือสถาบันสารสนเทศมาให้บริการ
ผู้ค้าฐานข้อมูล เริ่มจัดทำบริการเสริมการใช้ฐานข้อมูล เช่น
-Injenta จะให้บริการส่งบทความใหม่ทุกอาทิตย์ในหัวข้อที่ผู้ใช้สนใจ แจ้งทางอีเมล์
-Emerald จัดทำบริการจดหมายข่าว TOC และแจ้งบทความใหม่ในเรื่องหรือหัวข้อที่ผู้ใช้กำหนด โยแจ้งทางอีเมล์
-Google จัดบริการ Alert แจ้งบทความใหม่ในเรื่องหรือหัวข้อที่ผู้ใช้กำหนด โดยแจ้งทางอีเมล์

การเวียนเอกสารแบบเดิม การเวียนเอกสารจัดทำได้ 3 วิธี ดังนี้
1ส่งโดยตรงจากผู้ใช้ต่อๆกันไป และส่งกลับมายังสถาบันบริการเมื่อผู้ใช้คนสุดท้ายใช้เสร็จแล้ว
2แบ่งผู้ใช้ออกเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละประมาณ 4-5 คน โดยจัดกลุ่มผู้ใช้ตามที่อยู่ เมื่อเวียนใช้ภายในกลุ่มแล้วให้ส่งกลับมาที่สถาบันบริการสารสนเทศก่อนทุกครั้ง จากนั้นจึงจัดส่งไปยังกลุ่มอื่นต่อไป
3จัดส่งโดยตรงไปยังผู้ใช้แต่ละคน โดยให้ผู้ใช้ส่งกลับมาที่สถาบันบริการสารสนเทศทุกครั้งก่อนจะส่งให้ผู้ใช้คนต่อไป
-การกำหนดให้ผู้ใช้ส่งเอกสารกลับมายังสถาบันบริการสารสนเทศบ่อยๆ จะสามารถควบคุมการจัดส่งระหว่างผู้ใช้
-การกำหนดให้ส่งกลับบ่อยๆ เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ผู้ใช้บริการ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการชำรุดสูญหาย
-การตัดสินใจเลือกใช้วิธีการเวียนเอกสารวิธีใดต้องพิจารณาถึงสภาพการใช้และความรับผิดชอบของสมาชิกประกอบ

ข้อควรปฏิบัติในการเวียนเอกสาร 
1.ไม่ควรจัดบริการนี้แก่สมาชิกใหม่ จนกว่าจะแน่ใจว่าเป็นบริการที่สมาชิกต้องการจริงๆ
2.ไปเยี่ยมผู้ใช้ ณ ที่ทำงานเป็นครั้งคราว เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ใช้ส่งเอกสารที่นำไปหมุนเวียนเร็วขึ้น
3.จัดลำดับให้ผู้ใช้ได้รับเอกสารก่อนหลังสลับกันบ้าง เพื่อความเสมอภาคในการได้รับสารสนเทศอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่จัดให้ตนใดคนหนึ่งได้รับเอกสารลำดับแรก หรือลำดับสุดท้ายเป็นประจำ

 แบบฟอร์มการเวียน 
อาจมีลักษณะและรายละเอียดแตกต่างกันตามขนาดของสถาบันบริการสารสนเทศ และจำนวนผู้ใช้บริการ เช่น
- สถาบันบริการสารสนเทศขนาดเล็ก : มีผู้ใช้จำนวนน้อยอาจจัดทำเป็นแผ่นเล็กๆ ลงข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อผู้ใช้และชื่อสถาบัน
- สถาบันบริการสารสนเทศขนาดใหญ่ : มีผู้ใช้บริการมาก อาจกำหนดให้มีรายละเอียดมากขึ้น เช่น ชื่อและที่อยู่ของผู้ใช้ วันที่ผู้ใช้แต่ละคนได้รับเอกสาร และวันที่ส่งต่อไปยังผู้ใช้ลำดับถัดไป รวมทั้งมีช่องหมายเหตุสำหรับให้ผู้ใช้บันทึกข้อความไปยังผู้ใช้คนอื่นๆ และ/หรือเป็นที่สำหรับใช้แจ้งความต้องการใช้เอกสารด้วย
- กรณีที่ผู้ใช้มีจำนวนคงที่หรือเป็นกลุ่มสมาชิกเดิม :
 อาจจัดพิมพ์แบบฟอร์มการเวียนไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ต้องเขียนรายชื่อผู้ใช้ทุกครั้งที่จัดเวียนเอกสาร

- ในกรณีที่ใช้วิธีเวียนแบบฟอร์มให้ส่งกลับมาเป็นระยะ : ไม่ควรใส่รายชื่อผู้ใช้ทั้งหมด ควรใส่ครั้งละกลุ่ม เมื่อได้รับกลับมาจึงใส่รายชื่อกลุ่มต่อไป

ข้อดีของการเวียนเอกสาร คือ
1เป็นการกระจายสารสนเทศไปสู่ผู้ใช้ที่แน่นอน โดยเฉพาะผู้ใช้ที่อยู่ห่างไกลจากสถาบันสารสนเทศหรือผู้ที่ไม่สามารถมาใช้บริการที่สถาบันสารสนเทศด้วยตนเองได้เป็นประจำ ซึ่งเป็นการประเมินการใช้ทรั
พยากรสารสนเทศในรูปสิ่งตีพิมพ์ในห้องสมุด ในการให้บริการข่าวสารทันสมัยจะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ผู้ใช้ได้รับเอกสารก่อน เป็นผลดีกว่าการนำสิ่งพิมพ์ไปจัดวางไว้ตามชั้นหนังสือ ซึ่งสิ่งพิมพ์เหล่านั้นอาจไม่เคยถูกผู้ใช้หยิบยืมหรืออยู่ในที่ที่มองไม่เห็น ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองงบประมาณของห้องสมุด เนื่องจาก ไม่ถูกนำมาหมุนเวียนและไม่มีผู้ใช้มาใช้ประโยชน์2เป็นการให้โอกาสผู้ใช้ได้เห็นเนื้อหาของเอกสารแต่ละรายการ รวมทั้งข่าวหรือโฆษณาในเอกสารบางรายการ ซึ่งอาจมีความสำคัญมากกว่าเนื้อหา เช่น โฆษณาแนะนำอุปกรณ์ใหม่ๆ

ข้อด้อยของการเวียนเอกสาร คือ
1ผู้ใช้ที่ได้เอกสารคนสุดท้ายอาจได้รับสารสนเทศที่ล้าสมัยแล้ว
2เสี่ยงต่อการชำรุด สุญหายของเอกสาร
3เพิ่มภาระงานมากขึ้น

การจัดแสดงทรัพยากรสารสนเทศหใหม่
-เป็นการนำทรัพยากรสารสนเทศที่ได้รับเข้ามาใหม่มาจัดแสดงในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยระยะเวลาจัดแสดงไม่น้อยกว่า 1 สัปดาห์
การจัดแสดงทรัพยากรสารสนเทศใหม่ ควรคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้
1สถานที่จัดแสดง
-ควรเป็นบริกเวณที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ผ่านเป็นประจำ หากไม่สามารถจัดในบริเวณที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ผ่าน ควรทำประกาศติดไว้บริเวณที่มีผู้ผ่านเป็นประจำ และมีคำเชิญชวนดึงดูดความสนใจของผู้ใช้
นอกจากนี้อาจจัดในสถานที่ที่ผู้ใช้สามารถมองเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้กับทางเข้าออกของห้องสมุด รวมทั้งในบริเวณที่เป็นทางเดินที่มีผู้คนเดินผ่านไปมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นได้ง่าย สามารถค้นหาได้สะดวก
2ประเภทของทรัพยากรที่นำมาจัดแสดง
-ควรเลือกจัดแสดงทรัพยากรสารสนเทศที่มีรูปแบบที่หลากหลายที่มีความทันสมัยมาให้บริการแก่ผู้ใช้ เนื่องจากอาจมีผู้ใช้ที่ต้องการติดตามข้อมูลข่าวสารในเรื่องใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เลือกที่รับข้อมูลข่าวสารที่ตรงกับความต้องการของตนได้อย่างเหมาะสม โดยที่ไม่ควรเลือกเฉพาะสาขาใดสาขาหนึ่งมาให้บริการ
3วิธีการจัดแสดง
-ควรจัดแสดงทรัพยากรสารสนเทศที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันหรือประเภทเดียวกันมาไว้ในบริการเดียวกัน หรืออาจทำการจัดแบ่งวารสารจำนวนมากที่กำหนดออกไม่ตรงตามเวลาส่งผลให้ผู้ใช้ต้องคอยติดตามดูสิ่งเหล่านั้น เพื่อช่วยทำให้ผู้ใช้ประหยัดเวลาและสะดุดตาผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
4ระยะเวลาในการจัดแสดง
- ส่วนใหญ่จะจัดแสดงประมาณ 2 สัปดาห์ สถาบันสารสนเทศบางแห่งจะใช้วิธีทยอยนำออกมาแสดง หรือนำรวมออกมาแสดงในครั้งเดียวเท่านั้น
5การอนุญาตให้ใช้ในขณะที่จัดแสดง ในระหว่างที่จัดแสดงทรัพยากรสารสนเทศใหม่ๆอาจจะมีการอนุญาตให้ผู้ใช้ยืมออกได้เพื่อสนองความต้องการใช้ของผู้ใช้ แต่มีข้อเสียคือผู้ที่มีทีหลังจะไม่มีโอกาสได้เห็น
6การดำเนินการทางเทคนิค
-ทรัพยากรสารสนเทศส่วนใหญ่ที่นำมาจัดแสดงนั้นส่วนใหญ่เป็นทรัพยากรที่ดำเนินการทางเทคนิคมาเรียบร้อยแล้ว บ่างรายการใช้เวลาในการดำเนินการทางเทคนิคนานมากจึงทำให้สารสนเทศล้าสมัยไปแล้ว ดังนั้น จึงควรพิจารณาด้วยว่าทรัพยากรสารสนเทศรายการใด ควรนำจัดแสดงก่อนหรือหลังการดำเนินการทางเทคนิค เช่น หนังสือที่มีข้อมูลรายการในเล่ม จะดำเนินการทางเทคนิคก่อนนำออกแสดงเพราะสามารถทำได้เร็ว รวมทั้งรายการที่ต้องวิเคราะห์หมวดหมู่เองจะจัดแสดงก่อนแล้วจึงไปดำเนินการทางเทคนิค และจะดำเนินการทางเทคนิคให้ก่อนถ้ามีผู้ใช้แสดงความจำนงต้องการใช้


การจัดส่งหรือเผยแพร่บริการสามารถทำได้ ดังนี้ 
1.สิ่งพิมพ์ (Print) 
ข้อดี คือ ใช้สีได้ ผู้ใช้สามารถจดบันทึกลงบนกระดาษได้ สามารถนำกลับมาดูได้ใหม่ในวันหลัง หรืออาจนำรายการในหัวเรื่องที่สนใจมารวมกันไว้ เพื่อให้บริการ

ข้อเสีย คือ อาจสูญหายง่าย หากวางไว้ผิดที่ เปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บ ถูกพับ ฉีกขาด เสียหายง่ายอาจทำให้ข้อมูลบางส่วนสูญหาย รักษาความลับได้ยาก เนื่องจากทุกคนสามารถเปิดอ่านได้ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการเงิน บริษัทผลิตยา ซึ่งข้อมูลการวิจัยมักเป็นความลับของบริษัทที่เปิดเผยไม่ได้ ต้องออกกฎข้อบังคับใช้อย่างเคร่งครัดไม่ให้นำเอกสารของบริษัทออกไปใช้ภายนอก


2.โทรคมนาคม (Telecomms) คอมพิวเตอร์ (Computer) อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ
รวมถึง Voice-mail หรือ E-mail 

"Voice -mail" 
ข้อดี : ผู้ใช้คุ้นเคยกับการสื่อสารด้วยคำพูด ซึ่งบางครั้งผู้รับชอบฟังมากกว่าอ่าน ถ้าสิ่งที่ได้ฟังเป็นประโยชน์ 
ข้อเสีย : ในทางตรงข้ามบางคนอาจรู้สึกรำคาญหรือรู้สึกไม่ดีที่ต้องฟังข้อมูลทั้งหมด (ข้อมูลที่ส่งมามีทั้งเรื่องที่สนใจและไม่สนใจ) และหากขณะที่กำลังฟังข้อสนเทศมีผู้อื่นมาพูดแทรกอาจทำให้พลาดข้อมูลที่สำคัญ

"Mail"
ข้อดี คือ จัดส่งได้รวดเร็ว ราคาถูก ประหยัดพื้นที่ ไม่ฉีกขาด รักษาความลับได้ เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเปิดอ่านได้ โดยเฉพาะหากกำหนด Password เพื่อรักษาความปลอดภัยของ ข้อมูล 
ข้อเสีย ได้แก่
- แฟ้มข้อมูลอาจเกิดความเสียหายได้ เนื่องจากความผิดพลาดทางเทคนิค 
- การถูกรบกวนในระบบเครือข่าย บางครั้งอาจเผลอลบแฟ้มข้อมูลก่อนที่จะอ่านข้อมูลจบ 
- ลืม Password ไม่สามารถเข้าใช้ได้ 
- ในกรณีที่ผู้รับไม่อยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เช่น กำลังยุ่งจนไม่ได้สนใจหน้าจอลืมดูหน้าจอ ไม่ได้ตรวจดูข้อมูลที่คอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ เมื่อส่งข้อมูลมา ผู้ใช้อาจไม่ได้รับทราบข้อมูล 
- การจัดเก็บ Current Awareness Bulletin แต่ละฉบับ (โดยเฉพาะฉบับย้อนหลัง) ไว้ในหน่วยความจำ หลักของเครือข่ายค่อนข้าง ยุ่งยากและเปลืองเนื้อที่ บางครั้งอาจถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็น





บริการสอนการใช้

บริการสอนการใช้
   บริการสอนการใช้ เป็นบริการที่บรรณารักษ์หรือเจ้าหน้าที่ของห้องสมุดจะมีการให้บริการผู้ใช้ผ่านทางการสอนทักษะทาง การรู้สารสนเทศ (Information Literacy) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้ด้วยตนเอง เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการช่วยค้นหาสารสนเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเรียนรู้วิธีค้นหาสารสนเทศด้วยตนเองต่อไปในอนาคตด้วย เนื่องจากในปัจจุบันการรู้สารสนเทศนั้นมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก นอกจากจะนำไปใช้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาความรู้ความสามารถของมนุษย์ให้มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างมีระบบและมีวิจารณญาณแล้ว ยังเป็นส่วนช่วยที่ทำให้เกิดสามารถในการสร้างองค์ความรู้ใหม่อันจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงการพัฒนาประเทศสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ในสังคมใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย



ความหมายของการรู้สารสนเทศ (Information Literacy : IL)
การรู้สารสนเทศ (Information Literacy : IL) เป็นความสามารถของบุคคลในการตระหนักถึงความต้องการสารสนเทศ การเข้าถึงสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศ การประเมินสารสนเทศ และการนำสารสนเทศไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวม


เป้าหมายสูงสุดของการรู้สารสนเทศ
เป็นการทำให้ทุกคนกลายเป็นผู้ที่มีทักษะสารสนเทศ (Information Literate Person) และสามารถนำทักษะที่ได้ไปใช้ในการศึกษา การทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวันได้ และผลของการสร้างความรู้และทักษะทางสารสนเทศนี้จะเป็นการสร้างทรัพยากรบุคคลเพื่อรองรับสังคมสารสนเทศ และรองรับยุคสมัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

เป้าหมายการเรียนรู้ของมนุษย์ มี 4 ประการ ดังต่อไปนี้
(1)Learn to know เรียนเพื่อให้มีความรู้และมีวิธีการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้หรือวิธีการเรียนรู้ที่ได้มาไปต่อยอด แสวงหาหรือผลิตความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
(2)Learn to do เรียนเพื่อที่จะทำเป็นหรือใช้ความรู้ไปประกอบอาชีพและสร้างประโยชน์แก่สังคม
(3)Learn to live with the others เรียนเพื่อดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคมอย่างมีความสุขและสร้างสรรค์
(4)Learn to be เรียนเพื่อที่จะเป็นผู้ที่รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ สามารถพัฒนาตนได้เต็มศักยภาพ หรือพัฒนาตนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ มีมุมมองที่น่าสนใจ ดังนี้
(1)เป็นการแสวงหาสารสนเทศตามต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(2)ได้รับรู้โอกาสในการเลือกใช้แหล่งสารสนเทศและแยกแยะแหล่งสารสนเทศได้
(3)ได้วิเคราะห์และเลือกใช้สารสนเทศจากเครื่องมือสืบค้นสารสนเทศ เช่น จากคอมพิวเตอร์ และจากเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นๆ
(4)มีความสะดวกต่อการใช้มวลชนที่หลากหลายที่เหมาะสมที่สุด
(5)มีความระมัดระวังต่อการใช้สารสนเทศทั้งที่เชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้
(6)สามารถถ่ายทอดสารสนเทศที่รู้ให้ผู้อื่นทราบได้
องค์ประกอบของสารสนเทศ มี 5 ประการ ดังต่อไปนี้
(1)ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดต้องการสารสนเทศ และมีความตระหนักว่าสารสนเทศเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ รวมทั้งสารสนเทศที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น
(2)ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ รู้ว่าจะได้สารสนเทศจากที่ใด และจะสืบค้นสารสนเทศได้อย่างไร
(3)ความสามารถในการประเมินสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศในฐานเป็นผู้บริโภคสารสนเทศที่มีวิจารณญาณ
(4)ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ กล่าวคือ สามารถคิด และวิเคราะห์สารสนเทศ
(5)ความสามารถในการใช้และสื่อสารสารสนเทศให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีความเข้าใจประเด็นต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศ ตลอดจนการเข้าถึงและการใช้สารสนเทศอย่างมีจริยธรรมและถูกกฎหมาย
ดังนั้น การรู้สารสนเทศจึงมีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมศึกษาไปจนถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง การรู้สารสนเทศจึงเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาคุณภาพของตนเอง และหากประเทศใดมีประชากรที่เรียนรู้ตลอดชีวิต ถือว่าทรัพยากรมนุษย์ของประเทศนั้นย่อมมีคุณภาพที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ
คุณสมบัติของผู้รู้สารสนเทศในด้านอื่นๆ ประกอบไปด้วย
(1)การรู้ห้องสมุด (Library Literacy) ผู้เรียนต้องรู้ว่าห้องสมุดเป็นแหล่งรวบรวมสารสนเทศในสาขาวิชาต่างๆ ไว้ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งในรูปสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ และสืออิเล็กทรอนิกส์ รู้วิธีการจัดเก็บสื่อ รู้จักใช้เครื่องมือช่วยค้นต่างๆ รู้จักกลยุทธ์ในการค้นคืนสารสนเทศแต่ละประเภท รวมทั้งบริการต่างๆ ของห้องสมุด โดยเฉพาะห้องสมุดของสถาบันการศึกษาที่ผู้เรียนกำลังศึกษาอยู่จะต้องรู้จักอย่างลึกซึ้งในประเด็นต่างๆ ดังกล่าวแล้ว การรู้ห้องสมุดครอบคลุมการรู้แหล่งสารสนเทศอื่นๆ ด้วย
(2)การรู้คอมพิวเตอร์ (Computer Literacy) ผู้เรียนต้องรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอรเบื้องต้นในเรื่องของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การเชื่อมประสาน และการใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ เช่น การพิมพ์เอกสาร การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การใช้อินเตอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสาร รวมถึงการรู้ที่ตั้งของแหล่งสารสนเทศ เป็นต้น
(3)การรู้เครือข่าย (Network Literacy) ผู้เรียนต้องรู้ขอบเขตและมีความสามารถในการใช้สารสนเทศทางเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก สามารถใช้กลยุทธ์การสืบค้นสารสนเทศจากเครือข่าย และการบูรณาการสารสนเทศจากเครือข่ายกับสารสนเทศจากแหล่งอื่นๆ
(4) การรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เห็น (Visual Literacy) ผู้เรียนสามารถเข้าใจและแปลความหมายสิ่งที่เห็นได้รวมถึงความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การเรียนรู้ การแสดงความคิดเห็น และสามารถใช้สิ่งที่เห็นนั้นในการทำงานและการดำรงชีวิตประจำวันของตนเองได้ เช่น สัญลักษณ์ที่พบเห็นได้ตามสถานที่ต่างๆ
(5)การรู้สื่อ (Media Literacy) ผู้เรียนต้องสามารถเข้าถึง วิเคราะห์ และผลิตสารสนเทศจากสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ ภาพยนตร์ วิทยุ ดนตรี หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เป็นต้น รู้จักเลือกรับสารสนเทศจากสื่อที่แตกต่างกัน รู้ขอบเขตและการเผยแพร่สารสนเทศของสื่อ เข้าใจถึงอิทธิพลของสื่อ และสามารถพิจารณาตัดสินได้ว่าสื่อนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร
(6)การรู้สารสนเทศดิจิทัล (Digital Literacy) ผู้เรียนสามารถเข้าใจและใช้สารสนเทศรูปแบบซึ่งนำเสนอในรูปดิจัทัลผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างการรู้สารสนเทศดิจิทัล เช่น สามารถดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูลจากแหล่งทรัพยากรสารสนเทศที่เข้าถึงในระยะไกลมาใช้ได้ รู้ว่าคุณภาพสารสนเทศที่มาจากเว็บไซต์ต่างๆ แตกต่างกันรู้ว่าเว็บไซต์น่าเชื่อถือและเว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ รู้จักโปรแกรมการค้นหา สามารถสืบค้นโดยใช้การสืบค้นขั้นสูง รู้เรื่องของกฎหมายลิขสิทธิ์ที่คุ้มครองทรัพยากรสารสนเทศบนเว็บไซต์ การอ้างอิงสารสนเทศจากเว็บไซต์
(7)การมีความรู้ด้านภาษา (Language Literacy) ผู้เรียนมีความสามารถกำหนดคำสำคัญสำหรับการค้น ในขั้นตอนการค้นคืนสารสนเทศที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การค้นสารสนเทศจากอินเตอร์เน็ต และการนำเสนอสารสนเทศที่ค้นมาได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่จำเป็นมากที่สุด เนื่องจากเป็นภาษาสากล และสารสนเทศส่วนใหญ่เผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ
(8) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตัดสินใจเลือกรับสารสนเทศที่นำเสนอไว้หลากหลาย โดยการพิจารณาทบทวนหาเหตุผล จากสิ่งที่เคยจดจำ คาดการณ์ โดยยังไม่เห็นคล้อยตามสารสนเทศที่นำเสนอเรื่องนั้นๆ แต่จะต้องพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยความรอบคอบและมีเหตุผลว่าสิ่งใดสำคัญมีสาระก่อนตัดสินใจเชื่อ จากนั้นจึงดำเนินการแก้ปัญหา
(9)การมีจริยธรรมทางสารสนเทศ (Information Ethic) การสร้างผู้เรียนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ มีความสำคัญและเป็นเป้าหมายหลักของการจัดการศึกษา เพื่อปลูกฝังผู้เรียนให้รู้จักใช้สารสนเทศโดยชอบธรรมบนพื้นฐานของจริยธรรมทางสารสนเทศ เช่น การนำข้อความหรือแนวคิดของผู้อื่นมาใช้ในงานของตนจำเป้นต้องอ้างอิงเจ้าของผลงานเดิม การไม่นำข้อมูลที่ขัดต่อศีลธรรมและจรรยาบรรณของสังคมไปเผยแพร่ เป็้นต้น

ความสำคัญ การรู้สารสนเทศมีความสำคัญต่อความสำเร็จของบุคคลในด้านต่างๆ ดังนี้  การศึกษา การรู้สารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการศึกษาของบุคคลทุกระดับ ทั้งการศึกษาในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบโรงเรียน การศึกษาตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาในปัจจุบัน มีการปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้น บทบาทของผู้สอนจึงเปลี่ยนเป็นผู้ให้คำแนะนำชี้แนะโดยอาศัยทรัพยากรเป็นพื้นฐานสำคัญ การดำรงชีวิตประจำวัน การรู้สารสนเทศเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตประจำวัน เพราะผู้รู้สารสนเทศจะเป็นผู้ที่สามารถวิเคราะห์ประเมินและใช้สารสนเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง เมื่อต้องการตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากเราเป็นผู้ใช้ก็ต้องพิจารณามาตรฐาน คุณภาพในการให้บริการของห้องสมุด และเปรียบบเทียบบริการที่มีในห้องสมุด แล้วจึงทำการตัดสินใจเลือกรับการให้บริการของห้องสมุดที่ดีที่สุดและตรงกับความต้องการของเราในการนำสารสนเทศไปใช้งาน เป็นต้น การประกอบอาชีพ 
การรู้สารสนเทศมีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะ บุคคลนั้นสามารถแสวงหาสารสนเทศที่มีความจำเป็นต่อการประกอบอาชีพของตนเองได้ เมื่อห้องสมุดประสบปัญหาเรื่องวารสารมีราคาที่สูงขึ้น จึงปรับเปลี่ยนมาบอกรับวารสารอิเล็กทรอนิกส์แทน เนื่องจาก เสียค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า และหากบอกรับคู่กับสิ่งพิมพ์ก็จะได้รับส่วนลดได้อีกด้วย เพื่อให้ห้องสมุดยังคงมีการให้บริการสารสนเทศได้ดังเดิมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แม้จะประสบปัญหาเหล่านี้ก็ตาม สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง การรู้สารสนเทศเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะสังคมในยุคสารสนเทศ (Information Age) บุคคลจำเป็นต้องรู้สารสนเทศเพื่อปรับตนเองให้เข้ากับสังคมเศรษฐกิจ และการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ร่วมกันในสังคม การบริหารจัดการ การดำเนินธุรกิจและการแข่งขัน การบริหารบ้านเมืองของผู้นำประเทศ เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าผู้รู้สารสนเทศ เป็นผู้ที่มีอำนาจสามารถชี้วัดความสามารถขององค์กรหรือประเทศชาติได้ ดังนั้น ประชากรที่เป็นผู้รู้สารสนเทศจึงถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของประเทศ

องค์ประกอบการรู้สารสนเทศ แบ่งออกเป็น 5 ประการ ได้แก่ 
1. ตระหนักได้เมื่อมีความต้องการสารสนเทศ : สามารถกำหนด/ระบุเจาะจงสารสนเทศที่ต้องการได้
2. การรู้และเข้าถึงสารสนเทศ : สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ตนต้องการได้ หรือรู้แหล่งในการได้มาซึ่งสารสนเทศที่ตนเองต้องการ
3. การรู้วิธีในการประเมินสารสนเทศ : สามารถสังเคราะห์ ประเมินคุณค่าและความสำคัญในสารสนเทศที่หามาได้
4. มีความสามารถในการนำเสนอสารสนเทศที่หามาได้ : สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์และนำเสนอสารสนเทศที่หามาได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ อันจะนำมาซึ่งองค์ความรู้ใหม่ๆ
5. ความสามารถในการใช้สารสนเทศที่หามาได้ อย่างมีจริยธรรมและมีประสิทธิภาพ : ทำการใช้สารสนเทศที่ได้มาให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอย่างสูงสุดโดยคำนึงถึงเรื่องของจริยธรรม ความเหมาะสมและถูกต้องเป็นหลัก


ห้องสมุดและการส่งเสริมการรู้สารสนเทศ 
1. การแนะนำหรือนำชมห้องสมุด (Library Orientation)
2. การสอนวิธีในการเข้าถึงข้อมูลบรรณานุกรม (Bibliographic Instruction)
3. การให้การศึกษาแก่ผู้ใช้บริการ (User Education)
4. การฝึกทักษะในด้านการเรียนรู้ (Information skills training)


 วัตถุประสงค์ของบริการสอนการใช้ห้องสมุด 
1. สามารถทำให้ผู้ใช้บริการได้เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของสารสนเทศในห้องสมุด
2. สามารถนำความต้องการของสารสนเทศไปใช้ในการสร้างคำถาม คำหลักและใช้ในการพัฒนาเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ใช้การสืบค้นได้
3. ผู้ใช้บริการสามารถที่จะเลือกและเข้าถึงแหล่งสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการได้ รวมถึงมีความสามารถในการประเมินสารสนเทศและแหล่งของสารสนเทศได้
4. ผู้ใช้บริการสามารถนที่จะนำเอาสารสนเทศมาพัฒนาในส่วนขององค์ความรู้เดิม พัฒนาต่อยอดให้ได้องค์ความรู้ใหม่ และรวมถึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานในสถานการณ์ต่างๆได้



ลักษณะการจัดบริการสอนการใช้ของห้องสมุด แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
1บริการสอนหรือแนะนำเฉพาะบุคคล (One-to-One Instruction)
-เป็นบริการที่บรรณารักษ์ให้ความช่วยเหลือผู้ใช้เป็นรายบุคคลเมื่อผู้ใช้มีปัญหาต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในการที่จะได้มาซึ่งสารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการ เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดระบบห้องสมุด ปัญหาการใช้ทรัพยากรสารสนเทศบางประเภท ระบบการจัดการ การจัดเก็บ และการบริการ ซึ่งบรรณารักษ์จะต้องจัดบริการให้คำแนะนำและสอนการใช้งานในห้องสมุดแก่ผู้ใช้โดยตรง โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องไปขอรับบริการคำแนะนำหรือการสอนจากบรรณารักษ์ก่อน อีกทั้งบรรณารักษ์จึงควรเอาใจใส่ต่อผู้ใช้ที่มาใช้บริการห้องสมุดด้วย เพื่อให้ผู้ใช้เกิดการเรียนรู้และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวกับผู้ใช้ได้อย่างยั่งยืน
2การให้บริการเป็นกลุ่ม (Group Instruction)
-เป็นบริการที่เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้ที่เข้ามาใช้บริการในห้องสมุด
-สำหรับการบริการเป็นกลุ่มจะมีทั้งการบริการที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งก็คือบริการที่ผู้ใช้เป็นผู้ร้องขอให้บรรณารักษ์สอนการใช้ห้องสมุด และบริการที่เป็นทางการ ซึ่งก็คือห้องสมุดจะมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนเอาไว้ในห้องสมุด
-ลักษณะการให้บริการเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับระบบการจัดการในห้องสมุด แผนกต่างๆ ในห้องสมุด ทรัพยากรที่ห้องสมุดมี บริการห้องสมุดสำหรับผู้ใช้ และแนะนำให้รู้จักบุคลากรในแผนกต่างๆ
-การแนะนำอาจจะมีการจัดทำคู่มือการใช้ห้องสมุดทั้งที่เป็นสิ่งพิมพ์ และเสนอบนอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับการใช้ฐานข้อมูล วิธีการสืบค้น วิธีการศึกษาค้นคว้า สำหรับใช้ประกอบการแนะนำ หรือการสอนผู้ใช้ห้องสมุด นอกเหนือจากการแนะนำโดยบรรณารักษ์



สำหรับการให้บริการเป็นกลุ่ม สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1การนำชมห้องสมุด (Library Tour/Orientation)

-เป็นการแนะนำของบรรณารักษ์แก่ผู้ใช้เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของห้องสมุด เพื่อให้ผู้ใช้เกิดความคุ้นเคยกับลักษณะทางกายภาพของห้องสมุด ผู้ใช้สามารถทราบได้ว่าทรัพยากรสารสนเทศแต่ละอย่างนั้นจัดให้บริการที่ใดของห้องสมุด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้นหาแก่ผู้ใช้ที่มาใช้บริการในครั้งถัดไป ก่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการใช้งานแก่ผู้ใช้ รวมถึงการแนะนำแผนที่ของห้องสมุด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาตำแหน่งของบริการภายในห้องสมุดเมื่อผู้ใช้ต้องการเข้าไปใช้บริการได้
-เป็นการแนะนำให้ผู้ใช้เรียนรู้เกี่ยวกับแผนกบริการของห้องสมุดจะต้องสร้างความสัมพันธ์ในเบื้องต้นเพื่อการเข้ามาใช้ครั้งต่อไป ควรมีการแนะนำให้ผู้ใช้รู้จักกับเจ้าหน้าที่ของห้องสมุดในบางแผนก เช่น บรรณารักษ์แผนกบริการอ้างอิง แผนกวารสาร เป็นต้น-การบริการหรือบริการพิเศษ เช่น การแนะนำการสืบค้นด้วยคอมพิวเตอร์ บริการยืมระหว่างห้องสมุด บริการแฟ้มข้อมูล (Information Files) บริการแนะนำแหล่งข้อมูลเฉพาะ (Subject Guide)-การอธิบายโดยสรุปเกี่ยวกับการจัดระบบห้องสมุด และแนวทางค้นคว้าในห้องสมุด เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงวิธีการได้มาซึ่งสารสนเทศที่ต้องการ-กฎระเบียบการใช้ห้องสมุด

2บริการสอนการใช้เครื่องมือการค้น (One-Short Lectures)
-เป็นวิธีการและลักษณะการบริการจะคล้ายกับการให้บริการในระดับบุคคล แต่จัดให้เป็นกลุ่ม อาจจะทำก็ต่อเมื่อมีผู้ใช้ทำการร้องขอมายังบรรณารักษ์ หรือห้องสมุดจัดบริการโดยกำหนดตารางเวลาในการให้คำแนะนำ ขอบเขตของเนื้อหาที่จะแนะนำเป็นครั้งๆ
-การแนะนำเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือการค้นนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นคว้า เรียนรู้การใช้คู่มือ และสามารถสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-ในกรณีที่เป็นการใช้ฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศห้องสมุดออนไลน์ และการใช้ฐานข้อมูลต่างๆ หรือโปรแกรมใช้งานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทางห้องสมุดอาจจะมีการจัดบรรณารักษ์ให้มีการสอนเพื่อฝึกฝนการใช้งานของผู้ใช้ให้เกิดการเรียนรู้และสามารถลงมือปฏิบัติได้จริง ผู้ใช้สามารถใช้เครื่องมือการค้นได้ด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการใช้งานเพื่อการสืบค้นของผู้ใช้ เนื่องจาก มีความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลาในการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการได้

3บริการสอนการค้นคว้า
-เป็นบริการที่ช่่วยให้ผู้ใช้มีทักษะการรู้สารสนเทศ (Information Literacy) มีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต
-เป็นการพัฒนาให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว รู้จักการคัดเลือก วิเคราะห์สารสนเทศ และการใช้สารสนเทศ การประเมินและวิเคราะห์ทรัพยากร และการได้มาซึ่งสารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการ จริยธรรมในการใช้สารสนเทศ เพื่อไม่ให้ละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าของผลงาน และการนำเสนอสารสนเทศ



บริการนำส่งเอกสาร

บริการนำส่งเอกสาร
       บริการนำส่งเอกสารเป็นการจัดหาเอกสารที่ผู้ใช้ต้องการทั้งเอกสารที่พิมพ์เผยแพร่และยังไม่ได้เผยแพร่ และจัดส่งในรูปแบบกระดาษ หรือวัสดุย่อส่วน หรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยวิธีการส่งที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในการให้บริการนำส่งเอกสารจะมีการคิดค่าบริการ บางห้องสมุดอาจจะไม่คิดค่าใช้จ่ายในการให้บริการ  ผู้บริการนำส่งจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องมีการขออนุญาตจากผู้มีสิทธิ์ในผลงานเสียก่อน เพื่อตกลงทำการเสียค่าลิขสิทธิ์ให้ถูต้อง อาจมีการรวมค่าภาษี (Tax) ก่อนนำสำเนาหรือบทความนำส่งลูกค้า ซึ่งบริการนี้อาจใช้เป็นแหล่งรายได้ของห้องสมุดหรือห้องสมุดทำร่วมกับผู้แทนจัดจำหน่าย


ปรัชาญาของบริการนำส่งเอกสาร 
1. ไม่มีห้องสมุดใดที่จะสามารถให้บริการทรัพยากรสารสนเทศได้ครบถ้วนตามความต้องการของผู้ใช้ทุกคนเสมอไป
2. จะต้องสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างครอบคลุม เท่าเทียมและทั่วถึง
3. จะต้องสามารถช่วยในการแก้ไขปัญหาด้านงานบริการ เรื่องของไฟ กรณีน้ำท่วม รวมถึงปัญหาการสูญหายได้ด้วย
4. สามารถช่วยในการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในด้านการบริการและการทำงานต่างๆ ให้เกิดระบบงานที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดีอีกด้วย



วัตถุประสงค์ของบริการนำส่งเอกสาร
เป็นบริการในห้องสมุดที่ใช้รูปแบบหรือหลักการในการดำเนินงานเป็นแบบ Just in time ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทางห้องสมุดจะดำเนินงานบริหารและทำการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศมาให้แก่ผู้ใช้บริการได้ในวันและเวลาที่ผู้ใช้ต้องการ โดยที่ตัวผู้ใช้บริการเองจะไม่ได้อยู่ในห้องสมุดก็ตาม อีกทั้งยังทันต่อเหตุการณ์ และตรงต่อความต้องการของผู้ใช้บริการได้โดยตรงอีกด้วย



 วิธีการบริการ 
1. บริการแบบเดิม : จะเป็นบริการส่งทาง ไปรษณีย์ และ โทรสาร
2. บริการแบบปัจจุบัน : จะมีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆมาใช้ในการบริการด้วย คือ บริการส่งสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ ใช้รูปแบบการสแกนส่ง หรือจัดส่งตามปลายทางที่ชัดเจนผ่านทางการแนบไฟล์




วิธีการนำส่ง (แบบฉบับพิมพ์)
มีทั้งการนำส่งภายในและภายนอกองค์กรหรือหน่วยงาน
1ทางไปรษณีย์
-มีความล่าช้าและใช้ระยะเวลานานกว่าทรัพยากรสารสนเทศจากห้องสมุดถึงผู้ใช้ หรืออาจสูญหาย ทำให้ผู้ใช้ไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการได้
2ทางโทรสาร
-เอกสารที่ผู้ใช้ได้รับ ตัวหนังสือหรือข้อความอาจไม่ชัดเจนหรือขาดหายบางส่วนได้ หรือผู้ใช้ได้รับเพียงบางส่วน
3ทางยานพาหนะ
-มีความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการ ควรใช้ยานพาหนะให้เหมาะสมและคำนึงถึงปริมาณทรัพยากรสารสนเทศที่จัดส่งให้กับผู้ใช้
Electronic Document Delivery Services คือ การจัดส่งในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะมีความสะดวกและรวดเร็วเป็นอย่างมาก
1ทาง E-mail
-มีข้อจำกัด คือ ต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจึงจะสามารถจัดส่งได้
2นำส่งด้วยภาพลักษณ์เอกสาร (Document image system)
-เป็นการส่งเอกสารแบบ Tiff File ไม่สามารถคัดลอกได้ เนื่องจากเป็น Image File
-แจ้งทางอีเมล์
-ส่ง URL ให้ผู้ใช้เปิดดู

 ผู้ให้บริการ 
1. สถาบันบริการสารสนเทศ : จะมีการจัดส่งในหลายรูปแบบ คือ
จัดส่งในสถาบัน ได้แก่
- ทาง e-mail
- ทางระบบออนไลน์ หรือ e-office
- ทางยานพาหนะ
การจัดส่งระหว่างสถาบัน ซึ่งจะเป็นไปตามระเบียบ กฏเกณฑ์และข้อตกลงร่วมกัน
2. ตัวแทนจัดการและจัดส่งเอกสาร ได้แก่
- ผู้ให้บริการทั่วไป Ingenta
- ผู้ให้บริการเฉพาะด้านสาขา  Proquest /UMI  Thesis
- ผู้ให้บริการที่เป็นสำนักพิมพ์  Elsevier Science, SpringerLink, Gordon&Breach
- ผู้ให้บริการที่เป็นผู้จำหน่ายฐานข้อมูล Dialog, Dissertation Abstract Online-DAO
- ผู้ให้บริการที่เป็นนายหน้าค้าสารสนเทศ (Information broker)  Infotrieve




การดำเนินการในการขอใช้บริการ มี 2 แบบ ดังนี้
(1)แบบฟอร์ม DD กระดาษ อัตโนมัติ
(2)ขอบริการออนไลน์ หรือสมัครเป็นสมาชิก 
-เช่น การให้บริการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ให้บริการทางออนไลน์ หากเป็นการให้บริการแก่ห้องสมุดอื่นจะอยู่ในรูปการค้าขายเอกสาร

ข้อคำนึงการให้บริการ DD
1ลิขสิทธิ์
2ค่าใช้จ่ายในการนำส่งเอกสาร ค่าสำเนา ค่าส่ง บุคลากร ค่าลิขสิทธิ์ตอบแทน ค่าตรวจสอบแหล่งสารสนเทศ ค่าบอกรับ ผู้ใช้จะต้องรับผิดชอบ
3การเข้าถึงและกรรมสิทธิ์
4ความสามารถในการเข้าถึงต่างระบบ
5ค่าเสียหาย อาจมีค่าเสียหายหรือการสูญเสียเกิดขึ้น

การดำเนินการเมื่อได้รับเอกสาร
-แจ้งผู้ขอทันที
-จัดการให้มีการส่งคืนตามกำหนด
-บทความที่ให้บริการเป็นของผู้ใช้

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บริการหนังสือสำรอง

บริการหนังสือสำรอง
           บริการหนังสือสำรองเป็นบริการที่ห้องสมุดจัดเพื่อให้อาจารย์นำหนังสือที่ให้บริการของห้องสมุดในการนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนสำหรับวิชาต่างๆ โดยนักศึกษาสามารถสืบค้นรายการหนังสือสำรองได้จากระบบสืบค้นข้อมูลของห้องสมุดได้จากชื่ออาจารย์ผู้สอน รายวิชาที่สอน หนังสือของห้องสมุดที่นำมาจัดเป็นบริการหนังสือสำรองจะมีระยะเวลาให้ยืมที่สั้น อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับนโยบายห้องสมุดว่าจะกำหนดให้ผู้ใช้ยืมหนังสือสำรองได้นานเท่าใด  หากเป็นสำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สามารถยืมหนังสือสำรองได้นานถึง 3 วัน เพื่อให้มีการหมุนเวียนการใช้งานอย่างทั่วถึง นอกจากหนังสือสำรองจะเป็นหนังสือที่อาจารย์กำหนดให้นักศึกษาที่ลงทะเบียนในวิชาต่างๆ แล้ว ห้องสมุดยังได้นำหนังสือที่ได้รับความนิยมหรือเป็นที่ต้องการใช้มาก หรือหนังสือที่มีความน่าสนใจมาจัดทำเป็นหนังสือสำรองด้วย ผู้ที่สนใจสามารถเข้ารับบริการยืมได้ที่เคาน์เตอร์บริการยืม-คืนหนังสือของห้องสมุดได้ทุกแห่ง


หลักการยืมหนังสือสำรอง
  • หนังสือสำรองเป็นทรัพยากรที่มีการจำกัดระยะเวลาในการยืม เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดมีอยู่อย่างจำกัด ในบางครั้ง หนังสืออาจไม่เพียงพอให้ผู้ใช้สามารถยืมได้เป็นระยะเวลานาน อีกทั้งผู้ใช้แต่ละคนต่างก็มีความจำเป็นในการใช้เหมือนกัน ก่อให้เกิดการนำทรัพยากรสารสนเทศมาหมุนเวียนให้ผู้ใช้รายอื่นได้อย่างทั่วถึง
  • หนังสือสำรองมีการจัดให้บริการที่เคาน์เตอร์ยืม-คืน และจะมีบรรณารักษ์แผนกยืม-คืนคอยแนะนำและให้บริการแก่ผู้ใช้
  • หนังสือสำรองเป็นบริการที่ให้ใช้ภายในห้องสมุดเท่านั้น ห้องสมุดจะไม่อนุญาตให้นำออกมานอกห้องสมุดได้  แต่ก็มีบางห้องสมุดอาจมีการให้บริการนำไปใช้ภายนอกห้องสมุดได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโบบายการให้บริการของห้องสมุดเป็นสำคัญ
  • หากอนุญาตให้ยืมหนังสือสำรองจะมีขั้นตอนการยืมตามปกติ โดยติดต่อขอยืมได้ที่โต๊ะบริการยืม-คืน
  • การยืมหนังสือสำรองมีการจำกัดเอกสารที่ให้ยืมไว้อย่างแน่นอน



 ทรัพยากรสารสนเทศที่ให้บริการยืม 
1. ทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด
2. ทรัพยากรสารสนเทศส่วนบุคคล
3. ซีดี (CD)
4. บทความ / เอกสารที่มีลักษณะเป็นชุดๆ
5. ตัวอย่าง / แบบทดสอบ / แนวข้อสอบ / ตัวอย่างข้อสอบ / ความเรียง
6. Digital image / รูปภาพของวารสาร / หนังสือพิมพ์ / PowerPoint presentation
ทรัพยากรสารสนเทศที่ให้บริการอาจมีทั้งที่เป็นฉบับสิ่งพิมพ์ เป็นชุด เป็นเล่มๆ ที่สามารถจับต้องได้ และแบบที่เป็นฉบับอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสารสนเทศดังกล่าวนั้นจะต้องได้รับการป้องกัน หรือมีระบบป้องกันการดาวโหลด (Download) หรือ คัดลอก (Copy) เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศเอาไว้ด้วย



ความสำคัญของบริการหนังสือสำรอง
  • มีบทบาทในการสนับสนุนการเรียนการสอน  เป็นการส่งเสริมการเรียนการสอนแทนอาจารย์ผู้สอน เพื่อเพิ่มโอกาสให้นักศึกษาได้นำไปใช้ในการเรียนการสอน ทำให้ได้รับความรู้มากขึ้น
  • นักศึกษาสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน  เนื่องจากหนังสือสำรองมีการให้บริการยืมในระยะเวลาที่จำกัด เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนให้นักศึกษาได้ใช้อย่างทั่วถึง
  • ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบรรณารักษ์และผู้สอน  บรรณารักษ์มีการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนได้โดยตรง เกิดความร่วมมือในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี
  • คุณภาพการบริการ  เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ในการให้บริการของห้องสมุดได้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงคุณภาพในการให้บริการ ทำให้ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้
  • นิยมให้บริการในห้องสมุดอุดมศึกษา  เนื่องจากมีจำนวนอาจารย์และนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดความไม่เพียงพอในการให้บริการ  ห้องสมุดจึงจัดให้บริการเพื่อช่วยให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงหนังสือที่ใช้ในการประกอบการเรียนการสอนได้อย่างสะดวกรวดเร็วในการใช้งาน
  • อาจมีการให้บริการในห้องสมุดโรงเรียนในบางแห่ง                                                                           
  • มีการปรับเปลี่ยนในแต่ละเทอม หลักสูตรที่มีการเปิดการเรียนการสอนในแต่ละเทอมนั้นมีความแตกต่างกัน จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการเรียนการสอน
ขั้นตอนการดำเนินงาน มีดังนี้
  • งานที่ปฏิบัติ
    1รับใบขอใช้บริการ
    -ใบขอใช้บริการจะเป็นแบบฟอร์มที่ให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลลงไป หรือ อาจเป็นแบบออนไลน์เพื่อความสะดวกในการให้บริการผู้ใช้
    2การรับเอกสาร หรือ การคัดทรัพยากรสารสนเทศจัดบริการ ตกลงระยะเวลายืม
    3การจัดทำสำเนาหรือสแกน
    -เนื่องจาก หนังสือภายในห้องสมุดมีอยู่อย่างจำกัด จึงต้องมีการทำสำเนาหรือสแกน ซึ่งทางห้องสมุดจะต้องมีหนังสือที่เป็นฉบับจริงอยู่จึงจะสามารถทำได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ทำสำเนาหรือสแกนหนังสือเหล่านั้นจนทำให้ผู้เป็นเจ้าของผลงานได้รับความเสียหาย ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ดังนั้น บรรณารักษ์จึงต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการให้บริการผู้ใช้ นอกจากนั้น หากผู้ใช้ต้องการนำข้อมูลจากฐานข้อมูลมาใช้งานก็เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง หากผู้ใช้คนนั้นไม่ใช่สมาชิกของห้องสมุด บรรณารักษ์ก็ต้องทำการชี้แจงแก่ผู้ใช้ให้เข้าใจว่าไม่สามารถนำข้อมูลจากฐานข้อมูลมาให้บริการได้ เพราะถือว่าเป็นการผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ หากห้องสมุดนำมาให้บริการอาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาในภายหลังได้
    4การเข้าเล่ม 
    -เพื่อให้สามารถดูแลรักษาได้ง่าย ทำให้คงทนถาวร ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หรืออาจจัดทำเป็นแฟ้มเอกสาร
    5การจัดระเบียบเอกสารโดยการนำไปจัดหมวดหมู่หรือการจัดระบบที่ทำให้สามารถหยิบยืมได้ง่าย  ซึ่งนิยมนำไปจัดเรียงตามชื่อ กระบวนวิชา ผู้สอน หรือมีการกำหนดหมายเลข ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้รวดเร็วและสามารถเข้าใช้ได้ง่ายหากมีการจัดทำเป็นรูปเล่ม
    การทำบัตรยืม
    1การกำหนดระยะเวลา ระเบียบในการให้ยืม
    -เป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศภายในห้องสมุดให้แก่ผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาทรัพยากรภายในห้องสมุดที่มีไม่เพียงพอ อีกทั้งงบประมาณของห้องสมุดก็มีอยู่อย่างจำกัด
    2การให้บริการยืม-คืน
    3การจัดเก็บค่าปรับ
    -เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้นำทรัพยากรสารสนเทศมาคืนห้องสมุดภายในระยะเวลาที่กำหนด ทำให้ทรัพยากรสารสนเทศเกิดการกระจายสู่ผู้ใช้รายอื่นได้อย่างทั่วถึง
    4การคืน ย้ายเอกสารเก็บ
    5การแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น บรรณารักษ์จะต้องสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี เพื่อทำให้ผู้ใช้เกิดความเชื่อมั่นในการให้บริการของห้องสมุด
    6การจัดเก็บสถิติ
    -เป็นสิ่งที่ทำให้ทราบจำนวนบุคลากร บรรณารักษ์ ทรัพยากรสารสนเทศ รวมถึงการให้บริการที่มีอยู่ภายในห้องสมุด ซึ่งการจัดเก็บสถิติจะทำให้ทราบถึงจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการจากห้องสมุด จำนวนบรรณารักษ์ในการให้บริการผู้ใช้ จำนวนทรัพยากรสารสนเทศที่มีให้บริการผู้ใช้ ทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นที่ต้องการใช้งานของผู้ใช้ เป็นต้น
    7การดูแลรักษาเอกสาร
    -หากเอกสารเกิดความชำรุด เสียหาย บรรณารักษ์ต้องทำการซ่อมแซมเอกสารเหล่านั้นให้สามารถกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถให้บริการผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    8การรักษาความปลอดภัย
    -บรรณารักษ์ต้องดูแลรักษาไม่ให้หนังสือสูญหายไปจากห้องสมุด เพื่อให้สามารถมีไว้ให้บริการผู้ใช้ได้ หากสูญหายอาจเกิดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ตามมาได้ในกรณีที่เป็นหนังสือสำรอง เพราะ หนังสือสำรองอาจมาจากการทำสำเนาเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ ซึ่งกฎหมายให้ความคุ้มครองกรณีที่มีการนำไปใช้งานในห้องสมุดเท่านั้น หากสูญหายย่อมส่งผลกระทบต่อห้องสมุดได้
  • การจัดเก็บ
    -มีการจัดเก็บตามหมายเลขกระบวนวิชา ชื่อผู้สอน เรียงอีกครั้งตามชื่อเรื่อง หรือ ผู้แต่ง หรือมีการกำหนดหมายเลข
    -บทความ แบบทดสอบ จัดเก็บในแฟ้ม และใส่บาร์โค้ดสำหรับยืมออก ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
    -เอกสารที่มีการสแกน ให้มีการจัดเก็บไว้บน OPAC และแจ้งแหล่งจัดเก็บ หรือมีการจัดทำรายชื่อแจ้งแยกไว้และให้สามารถถ่ายโอนได้ทันที
  • การจัดเอกสาร
    1การจัดการเอกสาร ต้องมีการประทับตรา 
    -ตัวอย่าง ใช้ภายในห้องนี้เท่านั้น
                 ใช้ภายในห้องสมุดเท่านั้น
    2จัดทำบัตรยืมและมีคำแนะนำเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทราบ
    3ใช้สีแตกต่างกันในกรณีที่มีระยะเวลาในการให้ยืมแตกต่างกัน
    4ใส่ชื่อผู้สอนกระบวนวิชา เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการค้นหา
  • ระยะเวลาการยืม
    -ยืมในห้องสมุด โดยทั่วไปกำหนดให้ผู้ใช้ 1 คน สามารถยืมได้ 2 ชั่วโมง และไม่มีการให้บริการยืมต่อได้
    -หากยืมออกนอกห้องสมุดเป็นเวลา 1-2 วัน หรือเฉพาะนอกเวลาทำการ และต้องนำมาคืนภายในเวลาที่กำหนด หากนำมาคืนหลังกำหนดจะมีค่าปรับสูงสำหรับกรณีที่ส่งช้าจะถูกคิดค่าปรับเป็นรายชั่วโมง
    -โดยทั่วไปสำหรับการยืมจะมีระยะเวลาสั้นกว่าการยืมปกติ เพื่อให้ทรัพยากรสามารถหมุนเวียนแก่ผู้ใช้ได้อย่างทั่วถึง
    -มีการคิดค่าปรับหากส่งช้า แล้วแต่ห้องสมุดจะกำหนดไว้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่คิดค่าปรับมากจนเกินไป และควรมีระบบการเตือนตามจุดต่างๆ ทีผู้ใช้สามารถเห็นได้ง่าย เช่น บริเวณทางออกของห้องให้บริการหนังสือสำรอง
  • การเข้าถึง
    -โปรแกรมห้องสมุดจะมีงานหนังสือสำรองให้
    -รายการที่มีการสำรองจะมีการแจ้งผลในการค้นหาผ่านทาง OPAC
    -ห้องสมุดอัตโนมัติจะมีโปรแกรมจัดการหนังสือสำรองให้
    -มีการทำรายการแจ้งแยกให้สามารถค้นหาสิ่งตีพิมพ์ได้
    -มีการแจ้งผู้สอนถึงการจัดเก็บ วิธีการจัดเก็บ เพื่อให้ผู้สอนแจ้งนักศึกษาทราบ เนื่องจาก หน้าเว็บไซต์ของทางห้องสมุดอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบรรณารักษ์ต้องทำการตรวจสอบในการใช้เว็บไซต์ทุกครั้งหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บไซต์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ โดยเฉพาะบริการที่มีอยู่บนหน้าเว็บไซต์นั้นเมื่อเปลี่ยนแล้วยังคงมีบริการอยู่ครบหรือไม่ หากไม่ครบบรรณารักษ์ควรทำการแจ้งผู้จัดทำเว็บไซต์ให้ทำการเพิ่มเติมบริการที่ขาดหายลงในเว็บ รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของการใช้ภาษาว่ามีการใช้ไวยากรณ์บนเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้องหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการให้บริการแก่ผู้ใช้
  • ความสัมพันธ์กับผู้สอน
    -ควรพยายามติดต่อสื่อสารกับผู้สอนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน
    -ผู้สอนมักลืมว่าได้มอบเอกสารให้ห้องสมุดเพื่อให้นักศึกษาได้ใช้ บรรณารักษ์จึงต้องดำเนินการแจ้งให้มารับ หรือ ประสานงานในรูปแบบการส่งคืนที่ต้องการว่าต้องการจะมารับกลับคืนไป หรือ จะให้เก็บไว้เพื่อดำเนินการใช้ต่อ
  • การจัดเจ้าหน้าที่ คุณสมบัติ
    1ควรมีการปรับจำนวนผู้ให้บริการตามจำนวนการเข้าใช้ เนื่องจาก ไม่สามารถกำหนดผู้ใช้ได้อย่างแน่นอน
    2มีทักษะการสื่อสาร การประสานงาน การต่อรอง การยืดหยุ่น
    -ต้องมีการประสานงานกับผู้ใช้เมื่อผู้ใช้ประสบปัญหาในการใช้บริการ บรรณารักษ์จึงต้องพยายามแก้ไขปัญหาของผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจ และควรมีการต่อรองกับผู้ใช้ในการขอความร่วมมือให้ผู้ใช้ปฏิบัติตามกฎของห้องสมุด เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีต่อผู้ใช้ นอกจากนี้บรรณารักษ์ต้องมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อลดปัญหาการสร้างความไม่พอใจในการให้บริการแก่ผู้ใช้
    -มีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์ เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ เนื่องจาก การทำสำเนาหนังสือ หรือ เอกสารซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ได้
  • Reserve Card หรือ บัตรจอง
    -ควรมีการใช้บัตรสีสำหรับระยะเวลาการยืมที่แตกต่างกัน
    -ควรแทรกบัตรไว้กับเอกสารที่ให้ผู้ใช้ยืม
  • Confidentiality ความลับ และ Reserves
    -ไม่ควรเปิดเผยชื่อผู้ยืม เช่นเดียวกับการยืมแบบปกติ
    -ต้องไม่แจ้งชื่อผู้ยืมแก่ผู้สอน
    -ผู้สอนอาจใช้วิธีการลงชื่อขอยืมไว้
  • การจัดเก็บหนังสือสำรอง
    -บริการหนังสือสำรองจัดเก็บเป็นแบบชั้นปิด
    -บริเวณให้บริการยืม-คืน เพื่อให้สามารถเข้าไปค้นเพื่อให้บริการผู้ใช้ได้ง่ายและรวดเร็ว
    -บริเวณใกล้เคียงกับบริการยืม-คืน
    -ห้องแยกเฉพาะ จะพบว่าตามห้องสมุดขนาดใหญ่จะมีห้องให้บริการหนังสือสำรองแยกเฉพาะจากบริการอื่นๆ
  • การจัดบริเวณบริการ
    -ควรอยู่ในบริเวณที่ใกล้กับเคาน์เตอร์จ่ายรับ
    -ต้องสามารถมองเห็นได้ง่าย
    -เป็นบริการแบบชั้นปิด
    -ควรมีเครื่องถ่ายเอกสารอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
  • คู่มือการใช้ การแนะนำ
    -สามารถทำผ่านเว็บไซต์ได้ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
    -มีการแจ้งให้ผู้ใช้ได้ทราบอยู่เสมอ
    -เป็นการอธิบายถึงการใช้งานและขั้นตอนในการทำ
    -การแจ้ง Copyright หรือสิทธิในการใช้ ต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าในการใช้งานนั้นต้องไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าของผลงาน ดังนั้น ต้องมีการแจ้งผู้ใช้ให้ทราบอยู่ตลอดเวลาในการให้บริการยืม-คืน
  • แนวโน้มการบริการในอนาคต
    -มีเอกสารดิจิทัลให้สามารถถ่ายโอน และมีแสดงรายการบน OPAC หรือจัดทำรายการฉบับพิมพ์
    -สามารถเข้าถึงได้ทุกที่และทุกเวลา เนื่องจากในปัจจุบันมีการจัดทำเป็นอิเล็กทรอนิกส์หรือแบบออนไลน์มากขึ้น จึงทำให้สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลาตามความต้องการใช้งานของผู้ใช้
    -มีการป้องกันสิทธิ มี Password Protected สำหรับผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับความเป็นส่วนตัว
    -คณาจารย์สามารถเสนอเอกสารบนเว็บเพจของตนเองได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึง สามารถเข้าถึงได้ง่าย เนื่องจาก ไม่มีขั้นตอนในการเข้าที่ซับซ้อนยุ่งยากในการเข้าถึง